กล้อง 360 องศา ไอเทมใหม่สำหรับคนรักการถ่ายรูปและวิดีโอที่ทำให้คุณสามารถเก็บภาพบรรยากาศได้ 360 องศาเลยทีเดียว เรียกได้ว่าเปิดมิติใหม่แห่งการถ่ายภาพเลยค่ะ กล้องชนิดนี้มีราคาไม่สูงมากเมื่อเทียบกับกล้องถ่ายรูปทั่วไปจึงเป็นที่นิยมในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แบรนด์ต่าง ๆ เลยพากันพัฒนาผลิตภัณฑ์ออกมาเพื่อเอาใจคนชอบกล้อง ซึ่งคำถามยอดฮิตที่หลายคนสงสัย คือ “รุ่นไหนดี” แต่เราไม่สามารถตอบคำถามเหล่านี้ได้เลยค่ะ ถ้าไม่รู้จัก “วิธีการเลือก” เสียก่อน ในวันนี้ผู้เขียนจึงรวบรวมมาให้อ่านกัน
เมื่อรู้แล้วว่ากล้อง 360 องศาลักษณะใดเหมาะกับความต้องการของตัวเอง คราวนี้ก็ถึงเวลาของพระเอกของเราอย่าง “7 อันดับสินค้ายอดฮิตขายดี” ที่ผ่านการเปรียบเทียบคุณสมบัติต่าง ๆ รวมไปถึงรีวิว ซึ่งแต่ละหัวข้อจะมีรายละเอียดอย่างไรบ้าง ไปอ่านกันเลยค่ะ
แม้ว่ากล้อง 360 องศาจะเพิ่งมาฮิตในช่วงนี้ แต่จริง ๆ แล้วมีขายมานานแล้วค่ะ สาเหตุที่หลายคนไม่ค่อยทราบกันเพราะแต่เดิมไม่ได้ถูกพัฒนามาสำหรับผู้ใช้ทั่วไป แต่เพื่อการใช้งานที่ค่อนข้างเฉพาะทางหรือเป็นแบบธุรกิจเท่านั้น จึงใช้งานยากและมีราคาแพง
อย่างไรก็ตามปัจจุบันได้มีการพัฒนาผลิตภัณฑ์นี้ให้เหมาะกับการใช้งานของคนทั่วไปมากขึ้น ทำให้เพื่อน ๆ สามารถเลือกซื้อได้ง่ายขึ้น โดยจะมีรายละเอียดอย่างไรบ้าง ตามไปอ่านกันเลยค่ะ
แม้ว่ากล้อง 360 องศาทุกตัวจะสามารถบันทึกภาพได้แบบ 360 องศาเป็นธรรมดาอยู่แล้ว แต่แต่ละรุ่นมีขอบเขตการเก็บภาพไม่เท่ากันค่ะ ขึ้นอยู่กับรูปทรงของกล้องที่แบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือ “แบบทรงกลมเต็มใบ” และ “แบบครึ่งทรงกลม” ซึ่งมีข้อดี-ข้อเสียแตกต่างกันไป โดยแต่ละแบบเหมาะสมกับการใช้งานอย่างไร ผู้เขียนได้อธิบายอย่างละเอียดที่ด้านล่างนี้เรียบร้อยแล้วค่ะ
เลนส์กล้องประเภทนี้จะประกอบไปด้วยเลนส์ที่เก็บภาพได้ในมุมกว้าง 180 องศาอย่างเลนส์ Fisheye จำนวน 2 เลนส์ ทำให้สามารถเก็บภาพได้ 360 องศาทั้งบนล่าง-ซ้ายขวาในคราวเดียว ไร้ขอบเขตของกล้องมากวนใจ แต่มีข้อจำกัดคือ Stitch (การนำภาพที่ถ่ายได้แต่ละองศามาเรียงต่อกันเป็นภาพใหญ่) ภาพของค่อนยาก
กลไกการทำงานอย่างละเอียดของประเภทนี้ คือ เลนส์กล้องจะบันทึกภาพ 2 มุม จากนั้นจึงนำมา Stitch แต่รูปที่ได้อาจจะไม่เป็นธรรมชาติเท่าไรนัก ถ้าใครเน้นคุณภาพเป็นพิเศษ แนะนำให้ทำในคอมพิวเตอร์โดยอาศัยซอฟแวร์จะดีกว่าแม้ว่าจะต้องเสียเงินซื้อก็ตาม อย่างไรก็ตามด้วยความที่กล้องชนิดนี้ใช้งานง่ายไม่ต้องอาศัยทักษะการถ่ายรูปมาก จึงเหมาะกับมือใหม่หัดถ่ายนั่นเองค่ะ
กล่องประเภทนี้จะประกอบไปด้วยเลนส์มุมกว้างเพียงเลนส์เดียวเท่านั้น ทำให้ไม่สามารถถ่ายภาพได้ 360 องศาทั้งแนวนอนและแนวตั้งในครั้งเดียว ถ้าอยากได้ภาพหรือวิดีโอที่แสดงมุมรอบด้านจะต้อง Stitch ไฟล์ภาพหรือวิดีโอทั้งสองนั้นในคอมพิวเตอร์เองค่ะ
หลายคนที่ทำความรู้จักประเภทนี้เป็นครั้งแรกคงรู้สึกว่าขั้นตอนการใช้นั้นทั้งใช้เวลาเยอะและยุ่งยาก แถมยังต้องมีคอมพิวเตอร์และซอฟแวร์สำหรับตัดต่ออีก แต่เมื่อเทียบกับคุณภาพที่ Stitch ได้จากกล้องแบบแรก ประเภทนี้ถือว่าสวยงามกว่าค่ะ เรียกว่าคุ้มค่ากับการเสียเวลาและการใช้งานที่ยุ่งยากเลยทีเดียว ดังนั้นจึงเหมาะกับคนที่เน้นคุณภาพมากเป็นพิเศษหรือเป็นช่างภาพมืออาชีพนั่นเอง
กล้อง 360 องศาถือเป็นกล้องดิจิทัลประเภทหนึ่ง คุณสมบัติการทำงานต่าง ๆ จึงเหมือนกัน ก่อนการซื้อจึงควรคำนึงถึง “ความละเอียดของภาพ” และ “ความจุ” โดยเราควรจะเลือกอย่างไร ผู้เขียนได้สรุปให้อ่านง่าย ๆ ที่ด้านล่างนี้แล้วค่ะ
ปกติแล้วเวลาเลือกซื้อกล้องทั่วไป ถ้ารุ่นนั้น ๆ มีความละเอียดมากเท่าไร นั่นหมายความว่าภาพที่ออกมาจะสมจริงและมีคุณภาพสูงใช่ไหมคะ เช่นเดียวกับกล้อง 360 แต่ยิ่งความละเอียดภาพมากเท่าไร ไฟล์ภาพก็จะใหญ่มากขึ้นเท่านั้น ส่งผลให้ต้องใช้พื้นที่ในหน่วยความจำมากขึ้น คุณจึงต้องใช้ microSD Card ที่มีความจุเยอะ ซึ่งเพิ่มค่าใช้จ่ายมากขึ้นไปอีก
นอกจากนี้กล้องที่มีความละเอียดสูงยังมีแนวโน้มที่จะประมวลผลได้ช้ากว่าเพราะใช้พลังงานเยอะ ส่งผลให้กล้องเกิดความร้อนได้ง่ายเมื่อใช้อย่างต่อเนื่อง จึงไม่เหมาะกับการถ่ายภาพทีละนาน ๆ ดังนั้นถ้าใครอยากประหยัดงบ เน้นปริมาณรูปมากกว่าคุณภาพ ลองลดความละเอียดภาพที่ต้องการดูนะคะ
ถ้าใครเคยเจอปัญหาเวลาถ่ายรูปแล้วกล้องหรือสมาร์ทโฟนแจ้งเตือนว่าความจำไม่เพียงพอ ทำให้ต้องมานั่งไล่ลบรูปที่ไม่จำเป็นทิ้งเพื่อขยายพื้นที่เก็บล่ะก็ แนะนำให้คุณเช็คคุณสมบัตินี้ให้ดีก่อนจะซื้อเลยค่ะ ซึ่งโดยทั่วไปจะแบ่งออกเป็น 2 ประเภท แบบแรกคือ “microSD card” (ต้องซื้อแยก) ส่วนแบบที่สองคือ “หน่วยความจำแบบฝัง” จะมีอยู่ในตัวเครื่องอยู่แล้ว แต่ละแบบมีข้อดีและข้อเสียแตกต่างกัน ดังนี้
- แบบ microSD card : เมื่อความจำเต็ม สามารถซื้อเปลี่ยนใหม่ได้ตลอด อย่างไรก็ตามต้องเช็คด้วยว่าการ์ดรุ่นนั้น ๆ สามารถทำงานร่วมกับกล้องได้หรือเปล่า
- แบบฝัง : คุณสามารถใช้งานกล้องได้ทันที แตกต่างจากแบบแรกที่ต้องซื้อการ์ดมาใส่เสียก่อนถึงจะถ่ายได้ แต่ข้อจำกัด คือ เมื่อความจำเต็มขึ้นมาคุณจะต้องย้ายไฟล์ภาพจากกล้องลงเครื่องคอมพิวเตอร์ ไม่เช่นนั้นก็จะไม่สามารถใช้งานกล้องต่อไปได้
ส่วนใหญ่แล้วเราจะพกกล้อง 360 องศาเวลาไปเที่ยวกันใช่ไหมคะ เช่น ทะเล น้ำตก ภูเขา หรือแม้แต่สวนสนุก กล้องจึงควรมีคุณสมบัติกันฝุ่น, กันน้ำ และรับแรงกระแทกได้สูง นอกจากนี้ยังควรมีแพ็กเกจที่ง่ายต่อการพกพาและจับถนัดมือ เพื่อให้ใช้งานได้อย่างสะดวกทันใจในทุกสภาพแวดล้อม
กล้อง 360 องศามักจะถูกพัฒนาโดยบริษัทที่ผลิตกล้อง Action camera แต่ละรุ่นจึงถูกออกแบบมาให้เข้ากับการใช้งานในสภาพแวดล้อมที่หลากหลาย หรืออย่างน้อยที่สุดทุกรุ่นจะมีฟังก์ชั่นพื้นฐานอย่างป้องกันฝุ่นหรือน้ำในระดับหนึ่งอยู่แล้วค่ะ อย่างไรก็ตามไม่ใช่ว่ากล้องทุกรุ่นจากทุกแบรนด์จะมีคุณสมบัตินี้นะคะ ควรเช็คดี ๆ ก่อนซื้อจะดีกว่า
ด้วยความที่กล้อง 360 องศานี้ไม่ใช่อุปกรณ์ที่มีจุดประสงค์ในการเก็บหรือแสดงผลภาพเป็นหลัก เพื่อน ๆ จึงควรเช็คคุณสมบัติในการเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนหรือคอมพิวเตอร์ด้วยเพื่อการถ่ายโอนข้อมูลที่สะดวกกว่า
กล้องประเภทนี้โดยส่วนใหญ่แล้วสามารถถูกกดชัตเตอร์ได้ด้วย 2 วิธี คือ “กดที่ตัวเครื่อง” หรือ “สั่งการจากสมาร์ทโฟน” แต่เนื่องจากมีหลายเคสที่ผู้ใช้ต้องการถ่ายภาพขณะที่ตัวเองอยู่ห่างจากกล้องหรือขณะที่กำลังเคลื่อนไหวอยู่ เช่น การติดตั้งกล้องบนหมวกกันน็อค ทำให้การกดถ่ายภาพจากตัวเครื่องและการเช็คภาพจากกล้องเป็นเรื่องยาก ฟังก์ชั่นที่รองรับการถ่ายลักษณะนี้ได้อย่างเช่นฟังก์ชันเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนจึงเป็นสิ่งสำคัญนั่นเองค่ะ
นอกจากนี้ยังมีหลายรุ่นที่มีแอปพลิเคชัน Stitch ภาพบนสมาร์ทโฟนได้ อย่างไรก็ตามควรเช็คก่อนด้วยนะคะว่ารองรับ OS (เช่น iOS, Android) ที่คุณใช้อยู่หรือเปล่า เพราะบางรุ่นรองรับ OS แค่บางระบบหรือบางเวอร์ชั่นเท่านั้น
เมื่อถ่ายรูปเสร็จแล้ว สิ่งแรกที่เราทุกคนมักจะทำกันคืออะไรเอ่ย ส่วนใหญ่ก็จะตอบว่า “โพสต์ลงโซเชียล” ใช่ไหมคะ เพราะอยากแชร์ให้ทุกคนที่เป็นเพื่อนของเราหรือคนที่ติดตามเราอยู่ได้เห็นว่าตอนนั้นเรากำลังทำอะไรอยู่ และอยู่กับใคร ดังนั้นหนึ่งในฟังก์ชั่นพื้นฐานที่กล้อง 360 องศาควรมีคือ “การแชร์ลงสื่อโซเชียล” เช่น เฟสบุ๊ก ยูทูป หรืออินสตาแกรม ผ่านการเชื่อมต่อกับแอปพลิเคชั่นบนสมาร์ทโฟน ชาวโซเชียลจึงอย่าลืมเช็คคุณสมบัตินี้ด้วยนะจ๊ะ
กล้อง 360 องศามีหลายเรทหลายราคาเลยค่ะ เริ่มต้นตั้งแต่หลักพันต้น ๆ ไปจนถึงหลักหมื่นเลยก็มี ขึ้นอยู่ซอฟแวร์และวัสดุของแต่ละรุ่น ทำให้มีคุณสมบัติและประสิทธิภาพแตกต่างกันออกไป โดยยิ่งราคาสูง คุณภาพก็ยิ่งดีขึ้น
อย่างไรก็ตามต้องขึ้นอยู่กับควาต้องการและงบของแต่ละคนด้วยนะคะ ถ้าเน้นถ่ายรูปสนุก ๆ กับเพื่อน ไม่ได้ซีเรียสคุณภาพอะไร หลักพันต้น ๆ ก็เพียงพอแล้ว แต่ถ้าคุณต้องการรุ่นที่มีความสามารถมากกว่านั้น แนะนำให้เลือกซื้อรุ่นที่มีราคาตั้งแต่ 5,000 ขึ้นไป จะดีกว่า เพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ดังนั้นจะบอกว่ารุ่นราคาแพงดีกว่าราคาถูกก็ไม่เสมอไป ต้องดูลักษณะการใช้งานของคุณด้วย เพราะถ้าซื้อตัวท็อปมาเพื่อถ่ายเล่นหรือแค่ช่วงที่กำลังฮิต สุดท้ายจะกลายเป็นเสียเงินเปล่าเอานะคะ
แม้ว่าผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีจะดูมีวิธีการเลือกที่ยุ่งยากและซับซ้อน แต่ผู้เขียนเชื่อว่าไม่ยากเกินกำลังของเพื่อน ๆ ซึ่งตอนนี้หลายคนคงรู้แล้วว่ากล้องที่ตัวเองตามหาควรมีลักษณะอย่างไร ดังนั้นเพื่อไม่เป็นการเสียเวลา เราไปอ่านข้อมูลของสินค้าที่น่าสนใจกันเลยดีกว่าค่ะ
เห็นหน้าตาอย่างนี้อย่าเพิ่งคิดว่าเป็นพัดลมมือถือนะคะ น้องเขาคือกล้องถ่ายรูป 360 องศา สามารถถ่ายได้ทั้งภาพนิ่งและวิดีโอ ด้วยความละเอียดสูง พร้อมถ่ายทอดสดให้เพื่อน ๆ หรือครอบครัวของคุณได้แบบเรียลไทม์ และยังปรับเปลี่ยนมุมมองการถ่ายรูปได้หลากหลายอย่าง ซึ่งหลายคนที่ซื้อไปต่างบอกว่าใช้งานง่ายและภาพมีคุณภาพสูง แต่บอดี้ค่อนข้างลื่นนะคะ เวลาใช้ต้องระมัดระวังนิดนึง
อีกหนึ่งรุ่นที่น่าสนใจและที่สำคัญมีราคาย่อมเยาเมื่อเทียบกับสินค้าจากผู้ผลิตรายใหญ่อื่น ๆ ทำงานด้วยเลนส์ Dual wide-angle หรือเลนส์ Fisheye 2 ตัว พร้อมเชื่อมกับแอปพลิเคชัน YouTube และ the Google StreetView ได้ทันที โดยคนที่ใช้จริงรีวิวไว้ว่าใช้งานง่าย คุณภาพดีประมาณหนึ่งแต่ไม่ถึงกับคมชัดมาก เหมาะกับมือสมัครเล่นมากกว่าระดับมืออาชีพ
Ricoh เป็นผู้ผลิตเครื่องใช้สำนักงานสัญชาติญี่ปุ่นที่ตีตลาดทั่วโลกและเอาจริงเอาจังกับการผลิตกล้อง 360 แต่เห็นราคาแล้วอย่าเพิ่งตกใจค่ะ เขามาพร้อมสเปกระดับพรีเมี่ยม โดดเด่นด้วยเซ็นเซอร์ CMOS และชัตเตอร์ทำงานไวสูงสุด 1/6400 วินาทีทำให้ถ่ายภาพออกมาคมชัด เหมาะอย่างยิ่งสำหรับคนที่เน้นเก็บภาพถ่ายมากกว่าวิดีโอ มาพร้อมดีไซน์ที่สวยงาม จับถนัดมือ ลูกค้าที่ซื้อไปล้วนบอกว่าใช้งานง่าย มือใหม่ก็ใช้ได้สบาย ๆ เลยค่ะ
จุดเด่นของรุ่นนี้อยู่ที่ขนาดกะทัดรัด สามารถเสียบเข้ากับสมาร์ทโฟนโดยไม่เทอะทะและใช้งานได้ทันที ไม่ต้องเสียเวลาชาร์จแบตฯเข้า มาพร้อมกับเลนส์ Wide-angle ที่มีความละเอียดสูง ทำให้ได้ภาพที่สมจริงในระดับหนึ่ง และยังสามารถปรับเปลี่ยนมุมมองได้หลากหลาย นอกจากนี้ยังแชร์ลงโซเชียลได้อย่างง่ายดายอีกด้วย หลายคนชื่นชอบโดยเฉพาะมือใหม่หัดถ่าย
ถึงจะราคาสูงไปสักหน่อย แต่กล้องรุ่นนี้เขาโดดเด่นด้วยฟังก์ชั่นที่ให้มาไม่อั้น เช่น ลดการสั่นขณะมีการเคลื่อนไหว, โหมด Slow motion, ฟังก์ชั่น HDR ช่วยปรับโทนสีของภาพและลบไม้เซลฟี่ออกจากภาพ ที่สำคัญมาพร้อมหน้าจอ LCD ขนาดเล็กที่หาได้ยากในกล้องยี่ห้ออื่น ช่วยให้ใช้งานโดยไม่ต้องเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนได้สะดวกยิ่งขึ้น เมื่อบวกกับดีไซน์ที่ใช้งานง่ายด้วยแล้ว ยิ่งทำให้หลายคนตกหลุมรัก
ผู้นำเทคโนโลยีอย่าง Mi ก็ไม่พลาดพัฒนากล้อง 360 ออกมาให้ล่อตาล่อใจผู้บริโภค ซึ่งรุ่นนี้มีเลนส์ wide-angle fish eye เป็นส่วนประกอบ พร้อมเซ็นเซอร์ SONY IMX20 ช่วยควบคุมคุณภาพ และระบบป้องกันภาพสั่นไหว ที่สำคัญกันน้ำกันฝุ่นได้ในระดับ IP67 นอกจากนี้ยังมีดีไซน์สุดทันสมัยและน้ำหนักเบา ช่วยให้พกพาสะดวก เรียกได้ว่าเป็นอีกรุ่นที่น่าสนใจไม่น้อยเลยค่ะ
ปิดท้ายกันด้วยอันดับที่ 1 ของเรา รุ่นนี้โดดเด่นด้วยคุณสมบัติป้องกันน้ำ, ฝุ่น, อุณหภูมิติดลบและการกระแทกได้ในระดับหนึ่ง พร้อมแชร์ลง YouTube หรือ Facebook ได้อย่างง่ายดาย และสามารถเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนง่าย ๆ เพียงแค่โหลดแอปพลิเคชันของกล้อง นอกจากนี้ยังมีเคสพลาสติกช่วยปกป้องในแต่ละสภาวะต่าง ๆ อีกด้วย หลายคนที่ใช้จริงต่างบอกว่ามีคุณภาพสูง ใช้งานง่าย ลูกเล่นเยอะ เหมาะกับเหล่าคนรักกล้องที่ต้องการสนุกกับการสร้างสรรค์ผลงานแปลกใหม่
จบไปแล้วกับบทความในวันนี้ เป็นอย่างไรกันบ้างคะ หวังว่าเพื่อน ๆ จะมองว่าการเลือกซื้อสินค้าเกี่ยวกับเทคโนโลยีเป็นเรื่องง่ายขึ้น โดยเฉพาะกล้อง 360 องศาที่แม้จะมีกลไกการทำงานที่ซับซ้อนและหลายอย่างที่ต้องคำนึง แต่เพื่อสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเรา ก็คุ้มค่าที่จะใส่ใจนะคะ
เมื่อมีกล้องดี ๆ สักตัวไปแล้ว อีกหนึ่งสิ่งที่อย่าลืมละเลยกันคือการเก็บรักษา ควรใส่ในกระเป๋ากล้องหรือกล่องมิดชิดอยู่ตลอดเวลา เพื่อป้องกันอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้น ยิ่งถ้ารุ่นราคาแพงด้วยแล้วยิ่งต้องใส่ใจเป็นพิเศษเลยค่ะ สุดท้ายนี้ถ้าใครเห็นว่าบทความนี้ประโยชน์ เพื่อน ๆ น่าจะอ่านกัน อย่าลืมแชร์ลงบนสื่อโซเชียลนะคะ